ตอบคุณธัญณิชา

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

1 มีสัญชาติไทย และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามทะเบียนบ้าน

2. มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (ปีงบประมาณ 2563 หมายถึง ผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2502) ซึ้งได้ขึ้น ทะเบียนเพื่อขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยให้คำนวณจากวัน เดือน ปี พ.ศ. ที่เกิดนับถึง 30 กันยายน ของทุกปีเป็น เกณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 รวมทั้งให้สอดคล้องกับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และกรณีที่ผู้สูงอายุ ไม่ระบุวัน เดือน ที่เกิด ระบุเฉพาะพ.ศ.ที่เกิด ให้ถือว่าผู้สูงอายุเกิดวันที่ 1 มกราคม เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ 

3. ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เงินบำนาญ เบี้ยหวัด บ านาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่าง อื่นที่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดให้เป็นประจำยกเว้นผู้พิการและผู้ป่วยเอดส์ ตามระเบียบหะทรวง มหาดไทยและระเบียบกรุงเทพมหานคร

หลักฐานประกอบการจดทะเบียน มีดังนี้

1 บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่าย พร้อมสำเนา

2 ทะเบียนบ้านพร้อมสำเนา

3 สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยพร้อมสำเนา ในกรณีมีความจ าเป็นที่ไม่สามารถมาจดทะเบียนด้วยตนเองได้ ผู้สูงอายุสามารถมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์ อักษรให้ผู้อื่นเป็นผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแทนได้

4 หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (ในกรณียื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับ เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแทน)

การแจ้งความจำนงรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประกอบด้วย

1 โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยในนามผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผุ้สูงอายุ

2 โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยในนามบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุเป็นลายลักษณ์อักษร

เบี้ย กอช. เข้าข้อ3 ไหมคะ