ไวรัสตับอักเสบ และตับแข็งความสัมพันธ์สู่มะเร็งตับ
โรคตับที่สำคัญคงหนีไม่พ้นมะเร็งตับ ที่มีอันตรายถึงชีวิต และยังถือว่าเป็นภัยเงียบ เพราะแทบไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ที่ดื่มเหล้านั่นไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวจะน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ รวมถึงการเป็นโรคตับชนิดอื่น ๆ มาก่อนทั้งโรคตับแข็ง และไวรัสตับอักเสบบี
โรคตับที่คุณควรระวังมีอะไรบ้าง
โรคตับมีสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ การทานอาหารประเภทปิ้งย่าง เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแม้แต่มาจากพันธุกรรม เป็นต้น ด้วยสาเหตุเหล่านี้อาจพูดได้ว่าโรคตับเป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูง และเป็นโรคที่อยู่รอบตัวเรา โดยโรคตับที่อันตราย และมีความสัมพันธ์กันที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ได้แก่
- โรคไวรัสตับอักเสบบี
- โรคตับแข็ง
- โรคมะเร็งตับ
1. โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)
เป็นโรคตับที่อันตรายแต่หลายคนอาจมองข้ามไป เนื่องจากยังไม่รู้ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อ โดยผู้ที่เป็นพาหะมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทำให้สังเกตได้ยาก อีกทั้งโรคไวรัสตับอักเสบบียังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งตับอีกด้วย
กลุ่มเสี่ยงโรคไวรัสตับอักเสบบี
- ผู้ที่สัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ หรืออยู่ในพื้นที่ของการระบาด
- การไม่ป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ
- การใช้เข็มฉีดยาซ้ำ
อาการของไวรัสตับอักเสบบี
- ระยะเฉียบพลัน : ตัวเหลือง มีไข้อ่อนเพลีย อาเจียน ปวดท้องด้านขวา และมีอาการอ่อนเพลีย โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 4 เดือนหลังรับเชื้อ
- ระยะเรื้อรัง : ตับทำงานผิดปกติ อาจมีอาการอ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร
โรคไวรัสตับอักเสบสามารถรักษาให้หายได้ภายใต้คำแนะนำ และรับการดูแลจากแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะที่อาจแทรกซ้อน และลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อไวรัสต่อผู้อื่น
การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ตรวจสุขภาพ และความสมบูรณ์ของตับ
- ฉีดวัคซีนเพื่อรับการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงพื้นที่การระบาดของไวรัส
- ไม่สัมผัส หรืออยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
2. โรคตับแข็ง (Liver Cirrhosis)
เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเสียหายของตับจนเกิดเป็นแผลเป็นที่ร่างกายไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ จนเกิดเนื้อเยื่อพังผืดแทรกขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เป็นสาเหตุให้ตับทำงานได้น้อยลงทั้งการผลิตโปรตีน และประสิทธิภาพการทำลายสารพิษ
กลุ่มเสี่ยงโรคตับแข็ง
หลายคนคงเข้าใจว่าต้องดื่มเหล้าเท่านั้นจึงจะส่งผลให้ตับแข็ง ซึ่งไม่ถูกต้องเนื่องจากโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะไม่ดื่มเหล้า ด้วยสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ปัญหาการทำงานของภูมิต้านทาน และสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
- ผู้ที่ร่างกายได้รับสารพิษ หรือการทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน
- เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง
- ความผิดปกติของภูมิต้านทานที่หันมาทำลายตับ
- ผู้ที่ทานไขมันเยอะจนเกิดไขมันสะสมบริเวณตับมากจนเกินไป
อาการของโรคตับแข็ง
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ และอาเจียน
- เมื่อเป็นแผลเลือดจะออกง่าย เลือดจะแข็งตัวยากขึ้น
- คันบริเวณผิวหนัง ขาและท้องบวมใหญ่
นอกจากนี้ยังมีอาการทางสมอง เช่น ไม่มีสมาธิ หรือขี้หลงขี้ลืม ซึ่งเกิดจากการสะสมของสารพิษในเลือด และยังมีอาการเลือดออกบริเวณกระเพาะอาหารส่วนบน หรืออาจพบที่หลอดอาหาร อาการนี้ถือว่ามีอันตรายสูงมากจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
การป้องกันโรคตับแข็ง
- ตรวจการทำงานของตับเพื่อหาความผิดปกติ
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- งดดื่มแอลกอฮอล์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- พยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
สำหรับการรักษาโรคตับแข็งสามารถทำได้หลายวิธี โดยหลักแล้วจะเป็นการเลิกละพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพ และหันมาดูแลตนเองมากขึ้น เพื่อให้ตับไม่เสียหายมากกว่าเดิม และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
3. โรคมะเร็งตับ (Liver Cancer)
ขึ้นชื่อว่ามะเร็งมักไม่แสดงอาการในช่วงแรก รวมถึงมะเร็งตับด้วยเช่นกัน กว่าอาการจะแสดงออกมาอาจอยู่ในระยะสุดท้ายที่ยากจะรักษา ถึงแม้ว่าเพศชายจะมีความเสี่ยงสูง แต่โรคนี้ยังคงอันตรายต่อเพศหญิงด้วยเช่นกัน
กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งตับ
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นจากตับเอง หรือการติดเชื้อมะเร็งมาจากอวัยวะอื่น นอกจากนี้โรคร้ายนี้ยังเกิดได้จากโรคตับแข็ง และโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ได้กล่าวถึงไปแล้วได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงมะเร็งตับ มีดังนี้
- ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์
- การได้รับยา หรือสารเคมีที่ส่งผลต่อตับ
- ผู้ที่มีเครือญาติเป็นโรคมะเร็งตับ
- การเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ เบาหวาน หรือตับแข็ง
อาการของโรคมะเร็งตับ
มะเร็งตับมักไม่แสดงอาการในระยะแรก ดังนั้นจึงต้องสังเกตสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ประกอบกับตรวจคัดกรองมะเร็งตับเพื่อให้ทราบผลที่แน่นอน โดยอาการที่บ่งบอกได้ว่ามีความเสี่ยงมะเร็งตับ มีดังนี้
- อ่อนเพลียเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และน้ำหนักลด
- มีอาการตัวเหลือง และตาเหลือง
- มีอาการท้องบวมโต และรู้สึกแน่นท้อง
- คลำเจอก้อนบริเวณตับ
- ปวดท้องด้านขวาบน อาจปวดขึ้นไปถึงไหล่
การรักษาโรคนี้จะรักษาตามอาการ ความรุนแรง และสภาพร่างกายของผู้ป่วยซึ่งสามารถรักษาได้หลายวิธีทั้งการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด และการใช้รังสีรักษา หากตรวจพบอาการติดเชื้อไวรัสได้ไวจะยิ่งมีโอกาสรักษาได้มากขึ้นเช่นกัน
การป้องกันโรคมะเร็งตับ
- การป้องกันตนเองจากโรคไวรัสตับอักเสบบี และมะเร็งตับด้วยการตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีน
- การทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารประเภทปิ้งย่าง และแอลกอฮอล์
- ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น และดูแลสุขอนามัยอยู่เสมอ ๆ
- พยายามไม่ให้น้ำหนักเกินมาตรฐานเพื่อป้องกันไขมันสะสมที่ตับ
ไวรัสตับอักเสบ และตับแข็งประตูสู่มะเร็งตับ
จากที่เราได้รู้กันแล้วว่า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากไวรัสตับอักเสบจะทำให้ก่อเกิดโรคตับแข็ง และตับแข็งยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งตับที่อันตรายอีกด้วย ดังนั้นการป้องกันโรคตับแข็ง และไวรัสตับอักเสบไว้จึงเป็นหนทางสำคัญในการหนีห่างมะเร็งตับ ทั้งการรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การตรวจการทำงานของตับ และตรวจมะเร็งตับ ล้วนแต่เป็นวิธีที่เราควรปฏิบัติทั้งสิ้น
หากเราละเลยการตรวจสุขภาพ เราอาจรู้ตัวในช่วงระยะสุดท้ายของมะเร็งตับ ซึ่งมีโอกาสรักษาได้ยาก ดังนั้นการดูแลร่างกาย และเตรียมพร้อมการป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเสมอ
อ้างอิง https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/Liver-Cancer